สัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์เป็นสัญญาณที่แสดงถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ หากเห็นสัญญาณไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์ขึ้น ควรตรวจสอบรถยนต์ของคุณโดยเร็วเพื่อหาสาเหตุของปัญหา และอาจจำเป็นต้องนำรถยนต์ไปเข้าอู่หรือให้ช่างรถยนต์ช่วยเช็ค เพื่อตรวจสอบและซ่อมแซม
เกิดจากความผิดปกติของแบตเตอรี่ลูกเล็ก หรือแบตเตอรี่สำรอง ซึ่งไม่ใช่แบตเตอรี่ที่ใช้สตาร์ทรถ แบตเตอรี่สำรองนั้นทำหน้าที่เลี้ยงไฟให้กับรถเมื่อระบบ Auto start / stop ทำงาน ซึ่งถ้ามีคำเตือน Mulfunction ขึ้นมา หากแบตเตอรี่ลูกเล็กกำลังไฟเริ่มอ่อน หรือเสื่อมสภาพจากการใช้งาน รถยังสามารถขับต่อไปได้ แต่บางfunction อาจใช้งานไม่ได้ เช่น Hold Brake และระบบ Auto Start/stop แต่ก็ควรนำรถเข้าตรวจเช็ค เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย
สำหรับใครที่สนใจระบบ Malfunction คลิ๊กตรงนี้ได้เลย >> https://hurricanere.com/
เมื่อเปิดการใช้งานไฟสูง ไฟที่ขึ้นจะเป็นสีฟ้า ควรเปิดใช้ในขณะที่อยู่ในที่มืด หรือมองเห็นทางไม่ชัด แต่ไม่ควรเปิดในตอนที่มีรถคันอื่นอยู่ด้านหน้า หรือเลนสวนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพราะไฟอาจไปแยงตาผู้ขับขี่คันอื่นได้
ไฟจะขึ้นเป็นสีแดงหรือขึ้นไฟสีแดงกะพริบ ๆ แล้วดับ เตือนว่าน้ำมันเบรกเหลือน้อย ซึ่งปัญหานี้ดูเล็กน้อย แต่ถ้าเกิดขึ้นกับระบบเบรกไฮดรอลิก อาจเป็นสัญญาณเตือนร้ายแรง ถ้าหากไฟเตือนค้างอยู่อย่างนั้น อาจบ่งบอกถึงระบบเบรกล้มเหลว หรืออีกกรณีคือรถยนต์ที่มีไฟเบรกมือขึ้นเตือนแม้จะดึงเบรกมือแล้วก็ตาม อาจเกิดจากดึงเบรกมือลงไม่สุด หรือลืมปลดเบรกมือ ถ้าหากขับรถออกไปโดยที่ไม่ได้ปลดเบรกมือจะทำให้เกิดความเสียหายต่อผ้าเบรก หรือระบบเบรกเกิดความผิดพลาด เช่นระดับน้ำมันเบรกต่ำกว่าปกติ หม้อลมเบรกรั่ว ควรรีบนำรถเข้าตรวจเช็คโดยเร็วที่สุด
สัญญาณเตือนสีแดง คือ เครื่องยนต์ร้อน หรือระบบหล่อเย็นมีอุณหภูมิสูงกว่า117 °C
สัญญาณเตือนสีเขียวหรือสีฟ้า คือ เครื่องยนต์เย็น หรือระบบหล่อเย็นอุณหภูมิต่ำกว่า 60 °C
ถ้าสัญญาณขึ้นเตือนสีแดง ควรจอดรถแล้วเปิดฝากระโปรงรถ เพื่อระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์เย็นลง ให้เปิดฝาหม้อน้ำ แต่ไม่ควรเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องยังร้อนอยู่ เพราะแรงดันน้ำจากหม้อน้ำ อาจพุ่งมาโดนหน้าหรือร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ และควรสวมถุงมือกันความร้อนในขณะที่เปิดฝาหม้อน้ำด้วย จากนั้นเช็คดูระดับน้ำถ้าพบว่าน้ำน้อยกว่าปกติ ให้เติมน้ำเปล่าลงไป แล้วรอดู 5 นาที ถ้าน้ำลดลงแสดงว่าหม้อน้ำเกิดการแตก ควรเรียกช่างมาตรวจทันที
สัญญาณจะขึ้นเมื่อ น้ำมันเครื่องแห้ง หรือการดัดแปลงเครื่องยนต์ เช่น มีการใช้ชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน มีการขันตัวยึดต่าง ๆ ไม่แน่น หรือเมื่อใช้งานนานเกิดการเสื่อมสภาพของชิ้นส่วนต่าง ๆ ซีลยางรั่ว ไส้กรองน้ำมันสกปรก ปั๊มน้ำมันเครื่องเสีย หรือเซ็นเซอร์วัดแรงดันน้ำมันเครื่องเสีย ถ้ามีไฟเตือนขึ้นควรนำรถเข้าตรวจสอบทันที ถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
โดยปกติแล้วไฟเตือนจะแสดงขึ้นตอนสตาร์ทรถ แล้วไฟจะดับเมื่อมีการใช้งานรถ แต่ถ้าหากขับรถไปแล้วแต่ไฟยังไม่ดับลง ถือเป็นสัญญาณเตือนร้ายแรง เกิดจากความผิดปกติของระบบไดร์ชาร์จ และระบบไฟ ควรปิดระบบไฟต่าง ๆ เช่นแอร์ เพื่อเซฟไฟให้เพียงพอต่อการนำรถเข้าศูนย์เพื่อตรวจสอบ แต่ถ้าในบางกรณีที่ไดร์ชาร์จเสียรุนแรง อาจทำให้รถเกิดดับกลางทางได้
สาเหตุที่ทำให้ไฟแจ้งเตือน อาจจะเกิดจาก เซ็นเซอร์ทำงานผิดปกติ ระบบจุดระเบิดถุงลมนิรภัยมีปัญหา หรือระบบแจ้งเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยมีปัญหา ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์ทันที เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุอาจทำให้ถุงลมไม่พองตัวออกหรือไม่สามารถเซฟตี้ได้เท่าที่ควรแต่ในบางกรณีที่ถุงลมนิรภัยไม่ได้มีปัญหาอะไร เมื่อสตาร์ทรถไฟแจ้งเตือนจะหายไปเอง
ไฟจะขึ้นสีแดง แค่ปิดประตูให้สนิทสัญญาณไฟก็จะหายไป แต่ถ้าปิดประตูสนิทแล้วแต่ไฟสัญญาณยังขึ้นอยู่ อาจเกิดจากสายไฟมีปัญหา ควรนำรถเข้าอู่หรือศูนย์
รถยนต์รุ่นใหม่ที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้า เกิดขึ้นเพราะพวงมาลัยไฟฟ้าเกิดความผิดปกติ หรือการคุมพวงมาลัยยากต่อการประคองรถ ควรนำรถเข้าศูนย์ซ่อมทันที
ไฟจะขึ้นเมื่อน้ำมันเหลืออยู่ที่ 10 ลิตร ยังสามารถขับรถต่อไปได้อีกซักระยะ แต่ควรหาปั๊มรีบเติมน้ำมันให้เร็วที่สุด เพราะถ้าไฟเตือนขึ้นบ่อย ๆ อาจทำให้เกิดปัญหากับระบบปั๊มของถังน้ำมันได้
ไฟจะขึ้นเองตอนสตาร์ทรถ หรือเซนเซอร์ตรวจพบว่ารถเกิดการสูญเสียการควบคุม บนถนนที่พื้นผิวเปียกลื่น หรือผู้ขับขี่กดปิดระบบนี้เอง ควรเปิดระบบนี้ไว้ตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
สัญญาณเตือนเครื่องยนต์หรือที่เรียกกันว่า ไฟEngine จะขึ้นต่อเมื่อเครื่องยนต์หรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ภายในรถเกิดความผิดปกติ ที่อาจเกิดจากคอยล์ที่ทำหน้าที่จุดระเบิดเสียหรือ Air flow มีปัญหา ดังนั้นควรนำรถเข้าศูนย์เพื่อเช็คดีที่สุด
ผู้ใช้รถทุกคนควรรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์บนหน้าปัด เพื่อรู้ถึงการทำงานที่บกพร่อง หรือมีปัญหาในแต่ละส่วนของรถยนต์ และเมื่อเกิดปัญหากับรถไม่ควรขับรถเร็ว แต่ควรขับรถด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อนำรถเข้าศูนย์หรืออู่
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า